วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

อารมณ์!!??

คุณเคยมีอารมณ์ไหมค่ะ!!! 

โมก็มีเหมือนกัน แต่อารมณ์ที่ว่านั่นคืออารมณ์อยากถ่ายรูปนะคะ ส่วนอารมณ์อื่นไม่ขอกล่าวถึง
 
  

เรื่องของอารมณ์นี่มันไม่เข้าใครออกใครค่ะ นั่งอยู่ดีๆก็เกิดอยากขึ้นมาซะงั้น แล้วก็ไวเท่าความคิด วิ่งเข้าห้องน้ำจัดการกับตัวเอง  (อ่ะๆๆๆ บอกแล้วนะว่าไม่ได้มีอารณณ์แบบนั้น อย่าคิดลึก หึๆ) โดยการอาบน้ำแล้วก็รีบออกมาแต่งตัวอย่างว่องไว คว้ากล้องและกุญแจรถยนต์ออกไปจากบ้านพัก โดยมี concept  ในสมองอันบรรเจิดว่า
 ฉันจะต้องไปถ่ายรูปท้องนาสวยๆ กลับมาให้จงได้ วันนั้น (22 ก.ย. 2556) ท้องฟ้าสดใส แดดออก หลังจากที่ฝนตกติดต่อกันมาหลายวัน โอกาสทองแบบนี้จะปล่อยไปได้อย่างไร แถมยังเป็นวันหยุดอีก เอาล่ะๆ งานนี้สนุกแน่ๆ อิอิอิ 

 อยุธยาเป็นเมืองที่พรั่งพร้อมไปด้วยทุ่งนาทั้งนั้น อีกทั้งโมยังทำงานออกพื้นที่บ่อย รู้เส้นทางต่างๆ ในพื้นที่ๆ ตัวเองทำงานค่อยข้างจะละเอียด พอขับไปเรื่อยๆ สักพักดวงอาทิตย์แกคงร้อนอ่ะ เลยหรี่แสงลงซะงั้น!!  

ถึงตอนนี้ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เด่ะแดดก็แรง ขับไปต่อ  พอผ่านไปได้ 10 กม. มองซ้ายขวา ทุ่งนามีเยอะแยะดั่งคาดแต่ดันไม่เข้าตาคนกำลังติสแตก เลยลองขับผ่านไปอีก 10 กม. สุดท้ายก็ได้ภาพนี้มาค่ะ 


โอ้วววว คุณพระ!  นี่ทุ่งนาหล่อนเหรอย่ะ!! มีตรงไหนละม้ายคล้ายท้องนาบ้างเนี่ย ต้นข้าวที่ไหนสูงเสียดฟ้าจนต้องแหงยหน้ายกหนอนน้อย 7D ถ่ายถึงขนาดนี้ ตรง concept มากกกกกกกกก 


คิดไปคิดมา ก็เพราะไอ้อารมณ์อยากนี่ล่ะตัวดี ไม่ได้คิดให้รอบคอบเล้ยว่าตอนนี้มันเดือนอะไร กันยายนไงจ๊ะ!! 

อยุธยาเป้นพื้นที่ลุ่ม ช่วงเดือนนี้ใกล้น้ำหลาก ใครที่ไหนเขาทำนา มีแต่ทุ่งที่เกี่ยวไปแล้ว ที่ยังพอมีเหลืออยู่ก็ไม่ใช่นาแบบหว่าน เป็นประเภทไว้ตอเสียมากกว่า ต้นข้าวน่ะมีแต่ไม่สม่ำเสมอ มองเผินๆ เหมือนหญ้ามากกว่า เพลียกับตัวเอง ขับรถวนไปมา สุดท้ายเห็นเสาไปที่มีเยอะมาก ไม่รู้จะเยอะไปไหน เลยจอดรถ กดมา 1 แซะ แล้วดูสิ ไม่ได้สมดุลอีก!!!   



สุดจะบรรยาย...... 














ทันใดนั้นก็เกิดความคิดบรรเจิดขึ้นอีกครั้ง ไหนๆ เราก็ขับรถอกมาให้เปลืองน้ำมันเล่นแล้ว จะกลับไปแบบได้มารูปเดียวก็กระไรอยู่ เข้าตัวเมืองไปถ่ายรูปโบราณสถานดีกว่า อยุธยามีเยอะแยะ มองไปทางไหนก็เจอวัด มรดกโลกทั้งนั้น แดดก็ยังพอมี งานนี้ได้ทบทวนการถ่ายภาพแนว Landscape ไปในดัวยด้วย!! 

ที่แรกที่ตรงดิ่งไปคือวัดไชยวัฒนาราม เมื่อครั้งจับกล้อง DSLR ใหม่ๆ ใช้ canon 450D ก็มาถ่ายรูปที่นี่ เดินไปทั่ว ขึ้นพระปรางถ่ายวิวสวยๆ แต่ตอนนั้นมันมือใหม่ รูปเลยออกมาไม่ค่อยแจ่ม คราวนี้ล่ะฉันจะกลับไปแก้ตัว  หุหุหุ

และนี่...คือรูปที่ได้กลับมา ( O.o )



นี่ถ้าไม่บอกจะมีใครรู้ไหม ว่าภาพนี้ถ่ายมาจากวัดไชยฯ 


คำถาม : แล้วทำไมถึงได้ภาพนี้มา มุมมองไม่เหมือนคนอื่น หรือ คิดได้ยังไงเนี่ย! ครีเอทสุดๆ    
คำตอบ : ก็นะ ฤดูน้ำหลาก ต้องทำกำแพงกั้นน้ำ รอบพระปรางค์ก็กำลังซ่อมแซม มีแต่นั่งร้าน สแลนเขียวขึงรอบ แล้วตูจะถ่ายรูปอะไรมาได้ล่ะ!! เล่นมุมล่างเรี่ยดินมันนี่ล่ะ 







พระตำหนักสิริยาลัย ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดไชยวัฒนาราม ดูปริมาณน้ำสิค่ะ ปริ่มพื้นดิน เกือบๆ  จะเข้าท่วมแล้ว งานนี้เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลพระตำหนักก็ต้องคอยทำหน้าที่กันตลอด เดินสำรวจปริมาณน้ำและตั้งเรื่องสูบรวมทั้งเตรียมสร้างแนวกันน้ำ เช่นเดียวกับวัดไชยวัฒนารามซึ่งเป็นฝั่งที่โมยืนถ่ายรูปนี้มา เพราะหากปล่อยให้น้ำเข้าท่วมอีกดั่งเช่นปี 2554 องค์พระองค์อาจทรุดและเสียหายจนไม่อาจบูรณะได้ 





เมื่อพื้นที่โดยรอบพระปรางค์กำลังซ่อมแซม จึงต้องกั้นเชือกไม่ให้นักท่องเทียวเข้าไปด้านใน ทำได้แค่เดินชมวิวและถ่ายรูปอยู่รอบนอก  โมจึงได้แค่รูปนี้มา หลีกเลี่ยงเชือก นั่งร้าน สแลนเขียว  ปิดฉากความคิดถ่ายวิวมุมสูงจากบนบันไดทางขึ้นพระปรางค์ แม้แต่ถ่ายภาพมุมกว้างหรือมุมสวยกว่านี้ก็ทำไม่ได้!! 











ก่อนกลับ เดินวนเวียนอยู่อีกสักพัก พยายามองหามุมที่พอจะถ่ายได้ แล้วก็หันไปปิ๊งกับเจดีย์นี้ โมยืนอยู่ด้านบน สูงพอควร จะโดดลงไปก็ใช่ที่ จะเดินไปลงบันไดก็ดูท่าจะไม่แนว เอาแบบนี้ล่ะกัน นั่งยองๆ เอากล้องหย่อนลงไปจากพื้นที่ยื่นอยู่นิดนึง เปิดโหมดวิวภาพผ่านหน้าจอ LCD แล้วเสยกล้องขึ้น จัดฉากจัดองค์ประกอบ แล้วก็ได้ภาพนี้มาค่ะ 

แนวด้านหลังที่เห็นในรูปคือแนวกั้นน้ำ ปกติวัดไชยวัฒนารามใช้ผนังนี้กันอยู่มาตลอดทุกที มีแต่ปี 2554 ที่กันไม่อยู่ ไม่ใช่ว่าผนังเหล่านี้รับปริมาณน้ำที่มีมากไม่ไหวนะคะ แต่เจ้าหน้าที่เขาต้องดูแลในส่วนสถานที่สำคัญอื่นด้วย ประมาณว่า บุคคลการมีน้อยกว่าปริมาณงาน เมื่อน้ำพังเข้ามา ทุกอย่างก็สายเกินกว่าจะแก้ไข 

หลังจากนั้นเวลาประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง โมขับรถเข้าเกาะเมื่องอยุธยา อารมณ์ประมาณว่ายังพอมีแรงเหลือ และความอยากกกกกถ่ายรูปมันยังไม่มอดดับ!! 

ดังนั้นวัดมหาธาตุจึงเป็นเป้าหมายต่อไป บริเวณนั้นซึ่งก็คือรอบบึงพระรามรถก็ไม่ติดมาก แถมใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นซอยองค์การโทรศัพท์ กว่าจะถ่ายรูปเสร็จก็คงถึงเวลาเย็นพอสมควร ซึ่งตรงนั้นจะเป็นซอยรวบรวมของกินมากมาย ตั้งแต่ของเบาๆ ไปจนถึงของหนักท้อง ผลไม้ ขนม เพียบ!! ถ่ายรูปเสร็จก็แวะหาซื้อของกินได้สบายๆ 

ราคาค่าเข้าชม สำหรับคนไทยยังคงราคาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับราคาในเรทของชาวต่างชาติ แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือตัวอักษรที่ใช้บอกราคาค่ะ  สิบบาท หึๆ เลิกเขียนเป็นตัวเลขเสียแล้ว เขียนเป็นตัวหนังสือแทน คงไม่อยากตอบคำถามชาวต่างชาติแล้วว่า ก็ยูเขียนแปะไว้ว่า 10 ทำไมถึงเก็บไอ 50 

อพิโธ่ อพิถัง ก็นั่นมันราคาคนไทยไง ยูต่างชาติ ไอก็เก็บ 50 สิ  ความจริงมันก็เรื่องธรรมดานะ ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวเนี่ย ประเทศไหนในโลกทำแบบนี้ แต่คนตอบคำถามนี่สิ ตอบมากๆเข้าก็อายไง บางทียังไปเจอภาษาอื่นนอกเหนือไปจากภาษาอังกฤษ งานงอกสิทีนี้ สื่อสารกันไม่เข้าใจ  งั้นตัดปัญหา  
คนไทย สิบบาท ต่างชาติ 50  
ฮ่าาาาาา มุกนี้อยากรู้จริง ใครต้นคิดฟร่ะ 555555555555555


เอาล่ะ ร่ายยาวเกินไปล่ะ ลงรูปดีกว่า ^^ 







    


เฮ้ยๆๆๆ ไหนบอกว่าไปเที่ยววัดมหาธาตุ แล้วทำไมมีแต่รูปแบบนี้ ไหนล่ะรูปเศียรพระพุทธรูปที่ล้อมรอบไปด้วยรากไม้ Unseen Thailand ของวัดนี้เชียวนะ อยู่ไหน ไม่เห็นมีเลย!!   

บางท่านอาจกำลังคิดเช่นนี้อยู่  โมจึงขอตอบว่า.... 

ก็คนอื่นเขาถ่ายกันมาเยอะแล้ว ดังอยู่แล้ว ประกอบกับอารมณ์ติส อยากถ่ายมุมที่ไม่ค่อยมีใครเขามองกัน (ไม่ใช่มุมมองเมพขิงๆ หรอกค่พ แค่เป็นข้ออ้าง เพราะลองถ่ายมุมกว้างๆ มาแล้วมันไม่สวยนั่นเอง )




นีไง เค้าไม่ขี้จุ๊นะ ไปวัดมหาธาตุมาจริงๆ 
  


ถ่ายรูปนี้เสร็จก็เดินออกมาเพราะชักจะเริ่มหิว ยังไม่ไ้ด้กินข้าวกลางวัน หมดแรง อารมรณ์ติสเลยหมดตาม แต่ทันใดนั้น พอออกมาก็หันมาเจอมุมนี้!! จักรยานจอดอยู่ใต้ต้นไม้ มีสายน้ำเป็นฉากหน้า โอ้วววว คุณพระ!! แม้ฉากจะไม่งดงาดั่งความฝัน แต่ก็ยังดีล่ะน่ะ กดมาหนึ่งแซะ แล้วก็เดินไปซื้อของกิน จบการท่องเที่ยวถ่ายรูปแบบไม่ถึงกับปลื้ม แต่ก็ไม่ถึงกับเสียเที่ยวหรอก เนอะ ^^